10 ฟีเจอร์สำคัญที่เว็บไซต์ธุรกิจควรมี
10 ฟีเจอร์สำคัญที่เว็บไซต์ธุรกิจควรมี
เพิ่มยอดขาย เสริมภาพลักษณ์ ติดหน้าแรก Google
การมีเว็บไซต์เป็นเหมือนการมี “หน้าร้านออนไลน์” ที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมง แต่การจะทำให้เว็บไซต์นั้นเป็นมากกว่าหน้าร้านธรรมดา จำเป็นต้องออกแบบให้ครบถ้วนทั้งในด้าน ฟังก์ชันการใช้งาน ความน่าเชื่อถือ และการรองรับ SEO
ไม่ว่าคุณจะทำธุรกิจขายสินค้า บริการ หรือเป็นองค์กรที่ต้องการสร้างแบรนด์บนโลกออนไลน์ บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึก 10 ฟีเจอร์สำคัญที่เว็บไซต์ธุรกิจควรมี พร้อมคำอธิบายและแนวทางการใช้งานแบบเข้าใจง่าย
1. เมนูนำทาง (Navigation) ที่ใช้งานง่าย
เมนูคือหัวใจของการใช้งานเว็บไซต์ เพราะเป็นสิ่งที่ช่วยให้ผู้เยี่ยมชมสามารถเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ ได้รวดเร็วและไม่สับสน โดยเฉพาะในเว็บไซต์ธุรกิจที่มีหลายหน้า เช่น บริการ ผลงาน บทความ ติดต่อ ฯลฯ
สิ่งที่เมนูควรมี:
- แสดงอยู่ด้านบนสุด (Header) หรือบริเวณที่ผู้ใช้มองเห็นชัดเจน
- ใช้โครงสร้างแบบลำดับชั้น (Hierarchy) เช่น “บริการ” → “รับออกแบบเว็บไซต์”
- สำหรับมือถือ ควรเป็น Hamburger Menu ที่เปิด–ปิดได้
- หากมีเนื้อหาเยอะ ควรใช้ Mega Menu เพื่อจัดกลุ่มข้อมูล
เคล็ดลับ: ใช้สีที่ตัดกับพื้นหลัง เพื่อให้ผู้ใช้งานมองเห็นเมนูได้ชัดเจนในทุกหน้าจอ
2. ดีไซน์ที่รองรับการใช้งานทุกอุปกรณ์ (Responsive Design)
ปัจจุบันมีการใช้งานเว็บไซต์ผ่านมือถือมากกว่า 60% ดังนั้นการออกแบบเว็บไซต์ให้ Responsive ถือเป็นมาตรฐานที่ขาดไม่ได้ เพราะส่งผลต่อทั้งประสบการณ์ผู้ใช้งาน และอันดับ SEO
ข้อดีของ Responsive Design:
- เว็บไซต์แสดงผลได้สวยงามในทุกอุปกรณ์
- ลดการซูมเข้า–ออก ที่ทำให้ผู้ใช้งานรำคาญ
- เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ Google ใช้จัดอันดับเว็บไซต์
เครื่องมือทดสอบ:
- Google Mobile-Friendly Test
- Responsive Checker
3. ปุ่ม Call to Action (CTA) ที่ชัดเจนและดึงดูดใจ
CTA (Call to Action) เป็นจุดที่นำผู้ใช้ไปสู่ “การกระทำ” เช่น สั่งซื้อ ติดต่อ สอบถามข้อมูล หรือสมัครใช้งาน หากไม่มี CTA ที่ชัดเจน เว็บไซต์จะเสียโอกาสในการเปลี่ยนผู้เข้าชมให้เป็นลูกค้า
ตัวอย่าง CTA ยอดนิยม:
- “ขอใบเสนอราคา”
- “โทรเลย”
- “ลงทะเบียนวันนี้”
- “ดูรายละเอียดเพิ่มเติม”
ตำแหน่งที่ควรวาง CTA:
- ใต้หัวข้อแต่ละบริการ
- ด้านล่างของบทความ
- แถบลอย (Floating Bar) บนมือถือ
เคล็ดลับ: ใช้สี CTA ให้โดดเด่นกว่าปุ่มอื่น และใช้ข้อความสั้น กระตุ้นให้รีบตัดสินใจ
4. หน้า “เกี่ยวกับเรา” ที่น่าเชื่อถือ
หน้า “เกี่ยวกับเรา” (About Us) เป็นหนึ่งในหน้าที่ผู้ใช้เข้าชมมากที่สุด เพราะคนมักอยากรู้ว่า ใครอยู่เบื้องหลังธุรกิจนี้? มีความน่าเชื่อถือแค่ไหน?
ควรมีเนื้อหาดังนี้:
- ประวัติความเป็นมา หรือแนวคิดของธุรกิจ
- พันธกิจ วิสัยทัศน์
- รูปภาพทีมงานจริงหรือสำนักงาน
- โลโก้ลูกค้าหรือพันธมิตร
- ใบอนุญาตหรือรางวัลที่เคยได้รับ
เคล็ดลับ: เขียนให้อ่านง่าย ไม่จำเป็นต้องทางการเกินไป แต่ให้ดูเป็นมืออาชีพ
5. ปุ่มแชต/Live Chat ติดต่อได้ทันที
ความเร็วในการตอบกลับคือกุญแจสำคัญของยอดขายยุคใหม่ เว็บไซต์ธุรกิจที่มี ปุ่มแชต หรือระบบแชตสดจะได้เปรียบมากในการให้ข้อมูลลูกค้าแบบเรียลไทม์
ตัวเลือกที่นิยม:
- ปุ่มแชตผ่าน Facebook Messenger
- แชตผ่าน LINE OA (Line Official Account)
- Live Chat Plugin เช่น Tawk.to, Zendesk, LiveChat
ประโยชน์:
- เพิ่มโอกาสปิดการขาย
- ลดอัตราการละทิ้งเว็บไซต์
- ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่า “มีคนอยู่จริง”
6. แบบฟอร์มติดต่อที่ใช้งานง่าย
ฟอร์มติดต่อ หรือ “Contact Form” คือช่องทางที่ลูกค้าสามารถกรอกข้อมูลเพื่อติดต่อกับธุรกิจได้โดยตรง ช่วยให้คุณเก็บข้อมูลผู้สนใจได้โดยไม่ต้องให้เบอร์โทรหรืออีเมลไว้ในที่สาธารณะ
สิ่งที่ควรมีในฟอร์ม:
- ชื่อ – เบอร์ติดต่อ – อีเมล
- ช่องข้อความ
- หัวข้อที่ต้องการติดต่อ
- CAPTCHA ป้องกันบอท
เคล็ดลับ: อย่าใส่ช่องมากเกินไป เพราะอาจทำให้ลูกค้าไม่อยากกรอก
7. รีวิวและคำรับรองจากลูกค้า (Testimonials)
รีวิวจากลูกค้าจริงมีน้ำหนักมากกว่าคำโฆษณา เว็บไซต์ธุรกิจควรแสดงรีวิวหรือคำพูดจากลูกค้าที่ใช้บริการจริง เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือและกระตุ้นการตัดสินใจของลูกค้าใหม่
รูปแบบการแสดงผล:
- ข้อความสั้น + ชื่อลูกค้า + ตำแหน่ง/บริษัท
- ภาพลูกค้าพร้อมข้อความ
- วิดีโอรีวิวสั้นๆ
- ฝังรีวิวจาก Google หรือ Facebook
เทคนิค SEO: เพิ่ม Schema Markup ประเภท Review เพื่อให้ Google แสดงดาวรีวิวบนหน้าผลการค้นหา (Rich Snippet)
8. แกลเลอรีผลงานหรือตัวอย่างลูกค้า
การโชว์ “สิ่งที่เคยทำมาแล้ว” คือเครื่องมือที่ดีที่สุดในการสร้างความเชื่อมั่น
เหมาะกับธุรกิจประเภท:
- รับออกแบบเว็บไซต์
- ตกแต่งภายใน
- งานช่าง งานก่อสร้าง
- งานพิมพ์ งานศิลปะ
แนวทาง:
- ใส่คำอธิบายประกอบรูป
- ใช้ระบบกรอง/หมวดหมู่
- รูป Before – After
- ใช้แกลเลอรีแบบ Lightbox เพื่อเปิดภาพขนาดใหญ่
9. บล็อกบทความเพื่อการทำ SEO
เว็บไซต์ธุรกิจควรมี ระบบบทความ (Blog) เพื่อเผยแพร่เนื้อหาที่ให้ความรู้หรือข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสินค้า/บริการของธุรกิจนั้น ๆ
ประโยชน์ของการมีบล็อก:
- ดึงผู้ชมเข้ามาผ่านการค้นหาคำถามใน Google
- แสดงความเชี่ยวชาญในสาขานั้น ๆ
- เพิ่มหน้าเว็บที่ติด SEO ได้มากขึ้น
- ช่วยให้เว็บไซต์สดใหม่ มีการอัปเดตอยู่เสมอ
หัวข้อที่นิยม:
- วิธีเลือกบริการให้เหมาะกับคุณ
- เปรียบเทียบข้อดี–ข้อเสีย
- อัปเดตเทรนด์/เทคโนโลยีในวงการ
10. ความปลอดภัยของเว็บไซต์ (SSL / HTTPS)
เว็บไซต์ที่ไม่ปลอดภัย (ไม่มี SSL) จะขึ้นข้อความ “Not Secure” และทำให้ผู้ใช้งานไม่กล้าใช้งาน ส่งผลเสียต่อ SEO และความน่าเชื่อถือ
สิ่งที่ควรทำ:
- ติดตั้ง SSL Certificate ให้กับเว็บไซต์
- ให้ URL เป็น https://yourdomain.com (ไม่ใช่ http)
- ตรวจสอบว่าไม่มี Mixed Content (เช่น รูปภาพที่โหลดผ่าน http)
เครื่องมือช่วยตรวจสอบ:
- SSL Checker
- Google Search Console
ฟีเจอร์เพิ่มเติมที่ช่วยให้เว็บไซต์ธุรกิจโดดเด่นยิ่งขึ้น
นอกจาก 10 ข้อหลักแล้ว ยังมีฟีเจอร์อื่น ๆ ที่ควรพิจารณา ได้แก่:
1. ปุ่มแชร์ลงโซเชียล (Social Share Buttons)
ช่วยให้ผู้อ่านหรือผู้ใช้สามารถแชร์เนื้อหาของคุณไปยัง Facebook, Line, X (Twitter) ได้สะดวก
2. ระบบจัดการเนื้อหา (CMS)
ช่วยให้คุณสามารถอัปเดตข้อมูลในเว็บไซต์เองได้ เช่น WordPress, Joomla, Webflow
3. ติดตั้ง Google Analytics / Tag Manager
เพื่อเก็บข้อมูลสถิติผู้ใช้งานเว็บไซต์ เช่น จำนวนผู้เข้า เพจยอดนิยม ฯลฯ
4. ปุ่ม “เลื่อนกลับด้านบน” (Back to Top)
ช่วยให้ผู้ใช้สามารถกลับไปด้านบนของเว็บไซต์ได้ง่าย ลดความยุ่งยาก
5. ระบบ Newsletter (สมัครรับข่าวสาร)
เก็บอีเมลลูกค้าสำหรับการส่งโปรโมชั่นหรือบทความใหม่ทาง Email Marketing
เว็บไซต์ธุรกิจที่ดีต้องมีฟีเจอร์ครบ ตอบโจทย์ทั้งลูกค้าและ SEO
การออกแบบเว็บไซต์สำหรับธุรกิจไม่ควรเน้นแค่ความสวยงามเท่านั้น แต่ต้องใส่ใจใน ฟีเจอร์ที่ช่วยสนับสนุนการตลาด การขาย และความเชื่อมั่น จากลูกค้า โดยเฉพาะในยุคที่ลูกค้าหาข้อมูลผ่าน Google เป็นอันดับแรก
เว็บไซต์ที่ดีควร:
- เข้าถึงง่าย ใช้งานสะดวกทุกอุปกรณ์
- มีข้อมูลครบ ตอบคำถามที่ลูกค้าต้องการ
- ช่วยให้ลูกค้าติดต่อหรือซื้อสินค้าได้ง่าย
รองรับการค้นหา SEO เพื่อดึงผู้ชมใหม่
Powered by Froala Editor